คู่ชีวิต "วิศวกร ป.โท" จบมาไม่ขอเป็นทาสใคร ใช้ทุกอย่างที่มีสร้างอาชีพบนวิถีเกษตรอินทรีย์




อ่านไม่ผิดหรอกครับ!!
          นี่คือเรื่องราวของสองหนุ่ม-สาววิศวกร ดีกรีระดับปริญญาโทด้านวิศวกรรม ตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตหลังเรียนจบในทางที่แตกต่างจากคนอื่น เก็บใบปริญญาใส่ลิ้นชัก แล้วหันหน้ามาปักหลักชีวิตคู่ ร่วมกันสร้างฝันด้วยวิถีชีวิตที่เป็นไปได้กับการทำ "สวนผักเกษตรอินทรีย์" จนเป็นเจ้าของไร่ขนาดใหญ่ในอนาคต “บ้านสวนศุภรักษ์” ที่ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ผืนดินใหม่ที่ทั้งคู่ได้ค้นพบอาชีพที่ให้ความสุขแก่ชีวิตอันยังยืน ด้วยกำลังกายและพลังสมอง ของพวกเขาได้ในที่สุด

แบบอย่างที่น่ายกย่องของสองวิศวกรคู่นี้
          ด้วยบทความจากสื่อต่างๆ ที่มีแชร์กันอยู่มากเกี่ยวกับความประสบความสำเร็จในสายอาชีพเกษตรกร ทีมงานเรื่องเด็ด จึงจะขอเจาะเฉพาะลงไป เล่าถึงลำดับเรื่องราวชีวิตของ คุณเน (อภิชาต ศุภจรรยารักษ์) และ คุณฝน (ศิริพรรณ คำแน่น) บนช่วงเวลาที่ทั้งคู่ต้องพบกับกับอุปสรรค  ฝ่าฟันเสียงค่อนแคะในสิ่งที่เขาเริ่มลงมือทำ และความพยายามในการข้ามผ่านช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจ ที่เงินทุนเริ่มร่อยหรอ จนพ้นมามีวีถีชีวิตที่อิสระได้ในทุกวันนี้ อย่างน่าภาคภูมใจ และควรถูกยกให้เป็นบุคคลต้นแบบที่ดี ในความมุ่งมั่นตั้งใจ ทั้งทางด้านสายอาชีพ และการดำรงชีวิต สำหรับคนหนุ่มสาวในรุ่นถัดไป

ภาพคุณเน(ขวา) กับครูฝึกสอนสมัยมัธยมปลาย แววหล่อตั้งแต่เด็ก source

ช่วงปลายปี 2546 : พลัดถิ่น
          เด็กวัยรุ่นอายุ 18 ปี ที่เติบโตมาในครอบครัวข้าราชการ คุณพ่อเป็นนักวิศวกร คุณแม่เป็นครู หลังจบระดับมัธยมปลายจาก ร.ร.เบญจมราชูทิศ จ.ปัตตานี คุณเน ก็เดินทางออกจากบ้านเกิด เข้ามาศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ที่เมืองใหญ่บนที่ราบสูงแห่งภาคกลาง จ.โคราช

คุณเน (ขวาล่าง) บัณฑิตใหม่ ก่อนมาเป็นบุคคลต้นแบบของเราในวันนี้ source


ช่วงปี 2556 - 2550 : ต้นอ่อนแห่งเกษตรกรรม
          ถือเป็นช่วงเวลาของการหยั่งรากความรู้ทางทฤษฎีของ คุณเน โดยเริ่มเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี สาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม สั่งสมประสบการณ์ความรู้จากทางธรรมชาติ จากในรั้วและนอกรั้วมหาลัย ตามดูงานพืชสวนโลกและนิทรรศการต่างๆ จนจบและได้รับใบปริญญาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต(วศ.บ.) มาครอบครอง มีคุณวุฒิขั้นต้นพร้อมพอสำหรับการเริ่มไปประกอบวิชาชีพ ตามบริษัทที่เกี่ยวข้อง ที่ใดที่หนึ่งแล้ว

ไปไหนมาไหน มักจะมีกล้องติดตัวมาด้วย source

          ช่วงที่ใช้ชีวิตในมหาลัย ดูคุณเนจะมีความสนใจในการถ่ายภาพเป็นพิเศษ โดยเฉพาะภาพธรรมชาติ ต้นไม้ และดอกไม้ต่างๆ (และหนึ่งในนั้นก็มีภาพของภรรยาสุดน่ารักด้วย) ภาพที่ถ่ายส่วนใหญ่ได้องค์ประกอบที่สวยงาม แฝงเรื่องราวต่างๆทางธรรมชาติผ่านมุมมองของเขา ซึ่งช่วงนี้เองอาจจะเป็นช่วงที่จุดประกายความรักในธรรมชาติ และแฝงความต้องการที่จะทำงานในชีวิตอิสระ อยู่ภายในห้องหัวใจ ห้องใดห้องหนึ่งของเขาแล้ว โดยเจ้าตัวเองอาจจะยังไม่รู้สึกมากนักก็เป็นได้

ช่วงปี 2550 - 2553 : ลัดวงจรชีวิต
          คุณเน หลังจบระดับ ป.ตรี ก็เริ่มศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเดิม สาขาเดิม ในระดับปริญญาโททันที มุ่งหวังความรู้ภาคทฤษฏีในการวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสายวิชาที่เน้นปัจจัยแห่งวิทยาการทางธรรมชาติขั้นสูง ทั้งหมด 4 ประการนั่นคือ
ทักษะมนุษย์ (Humanware) ความรู้ความสามารถแวดล้อมโดยทั่วไปของมนุษย์
ทักษะการจัดการ (Orgaware) ความสามารถทางการจัดการองค์กร เพื่อรองรับการพัฒนา
ทักษะข้อมูล (Infoware) ความสามารถในการรับ-ส่งข่าวสารข้อมูล ที่มีประสิทธิภาพ
ทักษะเทคโนโลยี (Technoware) ความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีชีวภาพและสิ่งแวดล้อม

          ซึ่งช่วงนี้เอง ในขณะที่ คุณเน เรียนมาได้ถึงครึ่งทาง เริ่มรู้ว่าตัวเองว่าไม่สะดวกใจที่จะทำงานในระบบบริษัทในออฟฟิศเอาซะเลย หากเมื่อจบแล้วต้องออกไปเป็นพนักงานกินเงินเดือน ด้วยเพราะไม่ชอบรูปแบบสังคม ที่ต้องมีเจ้านาย ที่ติดอยู่กรอบกฎเกณฑ์ของคนอื่น ไม่สามารถควบคุมเวลาชีวิตของตัวเองได้เลย เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงตั้งปณิธานกับตัวเอง จะขออุทิศตนใช้ความรู้ที่มีเพื่อทำการเกษตร และต้องเป็นเกษตรกรอินทรีย์ ที่ควบคุมวงจรการผลิตเองได้ทั้งระบบโดยปราศจากสารเคมีที่เป็นพิษต่อมนุษย์และธรรมชาติอีกด้วย

“ผมฝันอยากทำอาชีพอิสระ เป็นนายตัวเอง สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆได้ และด้วยความที่ชอบการทำเกษตรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เลยมองว่าอาชีพเกษตรกรนี่แหละ เป็นอาชีพที่เหมาะกับผม เพราะสามารถควบคุมการผลิตเองได้ทั้งระบบ  ตั้งแต่วางแผนกระบวนการผลิต เก็บเกี่ยว การตลาด ซึ่งนอกจากเป็นอาชีพอิสระ มองว่ายังได้ทำบุญไปในตัว เพราะได้ผลิตอาหารที่ปลอดภัยให้ผู้บริโภคด้วย”

"ผมมีอาชีพ เกษตกร ครับ!" 
เขาบอกด้วยความภาคภูมิ เมื่อได้รับใบรับรองการขึ้นทะเบียนเกษตรกรครั้งแรก  source





ช่วงปี 2554 : จากทฤษฎีสู่ชีวิตจริง
          เมื่อสำเร็จการศึกษาจนได้รับใบปริญญา(โท)วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต(วศ.ม.) สาขาวิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมแล้ว คุณเน ในตอนนี้มีคุณวุฒิพร้อมสรรพ มากพอต่อการเข้าไปทำงานในตำแหน่งงานที่มีเงินเดือนสูงๆได้อย่างสบาย แต่เขากลับหันหลังให้กับการกรอกใบสมัครงาน ยังคงยึดความตั้งใจเดิมที่อยากทำการเกษตร เพื่อเป็นนายตัวเอง พอดีกับที่ครอบครัวของเขาได้ที่ดินขนาด 2 ไร่ ที่ ต.กลางดง อ.ปากช่อง ชานเมืองโคราช และก็เลยย้ายขึ้นมาอยู่ด้วยกันทั้งครอบครัวที่นั่น จึงถือเป็นความประจวบเหมาะ ใช้โอกาสนี้พิสูจน์ตนเอง พิสูจน์ในความรู้ภาคทฤษฎีที่ร่ำเรียนมา ให้สมกับความมุ่งมั่นในสายอาชีพเกษตรกรที่ตัวเองชอบ โดยตั้งชื่อไร่แห่งแรกของเขาว่า "บ้านสวนศุภรักษ์" บ้านสวนเกษตรอินทรีย์ปริญญาโท แห่งแรกของครอบครัว และของจังหวัดนครราชสีมา

          ในขณะเดียวกันก็ปรึกษากับ คุณฝน แฟนสาวที่จบ ป.โท สาขาเดียวกัน ทั้งคู่ตัดสินใจว่าในช่วงแรกที่กำลังลองผิดลองถูกกับหนทางยึดอาชีพที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้นี้ คุณฝน จึงต้องไปลงสมัครงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่ จ.นนทบุรี เข้างานเช้า กลับบ้านดึก ทำงานในระบบบริษัทเหมือนคนทั่วไป จนกว่าทั้งคู่จะสั่งสมประสบการณ์ในอาชีพเกษตรกรได้เพียงพอก่อน จึงค่อยกลับมาช่วยกันร่วมอุดมการณ์ ประกอบอาชีพด้านนี้ให้เต็มที่ได้อย่างมั่นใจ

          เมื่อตกลงกันได้ก็เริ่มวางแผนการผลิต พวกเขาลงมือแต่งพื้นที่สร้างแปลงบนป่ารกร้าง และดินที่ตายจากภาวะแวดล้อมเดิม แต่ปัญหาใหญ่กว่าคือบริเวณนั้นจะไม่ค่อยมีคนนิยมทำการเกษตร เพราะการสร้างหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์บนพื้นที่ที่ราบสูงนั้น เป็นไปได้ยาก อีกทั้งยังห่างไกลแหล่งน้ำจากแม่น้ำ จึงต้องออกแบบระบบปั้มน้ำบาดาลขึ้นมากักเก็บ ไว้ใช้ส่งไปตามท่อจ่ายสู่แปลงปลูก ลองผิดลองถูกอยู่พักใหญ่จึงเริ่มเข้าเค้า เริ่มทำการปลูกสวนผลไม้และผักปลอดสารพิษต่างๆได้ จึงเริ่มทำนา ปลูกข้าวไร่ ข้าวหอมมันปู ข้าวสังหยด ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมนิล งาดำ เลี้ยงไก่ไข่ ทำปุ๋ยอินทรีย์จากพืชผล และมูลสัตว์

ภาพวิศวกร ป.โท กำลังไถนา ด้วย 1 รถไถ, 1 จอบ, 1 แรงงานคน  source

ลงมือดำนาหลังได้ต้นกล้า บนระบบปริงเกอร์จ่ายน้ำ ที่แปลกตากว่าชาวบ้านเค้า  source

          เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ คุณเน ขนเอาทฤษฎีทั้งหมดที่มีมาลงมือทำจริง ซึ่งก็พบปัญหาที่ต้องแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติม เพราะพันธ์พืชหลายชนิดไม่เหมาะกับดิน แต่ด้วยความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อโดยถือเอาคติ "ปัญหาทำให้เกิดการพัฒนา" วิเคราะห์แล้วลงมือแก้ปัญหาที่พบ ลุยปลูกเมล็ดพันธุ์พืชทุกอย่างที่พอหามีได้ อย่างละนิดอย่างละหน่อย ทั้งยังมีคุณพ่อคุณแม่คอยเป็นกำลังใจ ช่วยสอนวิชานอกห้องเรียน อย่างพวกเทคนิคทางการช่างต่างๆ ตามแบบวิศวกรเก่าแต่เก๋าของคุณพ่อ จนขยับขยายที่ดินเพาะปลูกเพิ่มเติมไปได้อีก

          พอเลยช่วงกลางปีมา ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตมากินเองในครอบครัว ส่วนหนึ่งแจกเพื่อนบ้าน และนำผลผลิตที่ได้มาไปขายตามตลาดและแหล่งที่ต้องการได้อีกหลากหลายชนิด สร้างรายได้ให้กับครอบครัวเป็นที่น่าพอใจเลยทีเดียว โดยเฉพาะปุ๋ยดินและปุ๋ยน้ำหมักมูลไส้เดือน ที่มีคุณภาพดี มีลูกค้าประจำสั่งออร์เดอร์ซื้อกันอย่างต่อเนื่อง

แตงกวาที่บ้าน "ใหญ่ปะ" ส่วนหนึ่งของผลผลิตของ "บ้านสวนศุภรักษ์"  source

20 จ้า 20 บาท สดจากสวนตัดจากต้นเลยจ้า  source

มูลไส้เดือนพระเอกหลักของเรื่อง หาซื้อได้ยากมาก  source

น้ำหมักมูลไส้เดือน แบบเข้มข้น สุดยอดไอเทมของชาวเกษตรอินทรีย์  source

หน้าบ้านคือที่ทำงาน หลังบ้านคือวิวภูเขาใต้สายหมอก ดูแล้วอิจฉาไป 18 ตลบ  source

ออฟฟิศขนาดใหญ่ส่วนตัวคุณเน ปรอดโปร่งโล่งตาดีจริงๆ  source





ช่วงปี 2555 : จากชีวิตธรรมชาติสู่โลกแห่งธรรมะ
          ช่วงนี้หลายๆอย่างในอาชีพเกษตรกรรมของ คุณเน เริ่มเข้าที่เข้าทางขึ้นมากในทุกๆด้าน สามารถควบคุมระบบการผลิตได้ทั้งหมด ทั้งการปรับบำรุงดิน ผลิตปุ๋ย เพาะเมล็ดพันธุ์ ระบบการปลูกและเก็บเกียว รวมถึงการเข้าร่วมกับกลุ่มติดต่อกับผู้ผลิตรายอื่นๆ เพื่อเสริมพลังในการสร้างช่องทางจำหน่ายสินค้า ทำได้ครบวงจรของวิถีเกษตรกรรม ตามที่หลายๆคนในสายอาชีพนี้ฝันไว้เลย

          เมื่อเวลาในการหาเลี้ยงชีวิตลงตัว เวลาในการใช้ชีวิตก็มีมากขึ้น เขามีเวลาอยู่กับครอบครัวมากกว่าเวลาทำงาน จัดแพลนพาครอบครัวและคนรักออกพักผ่อน เยี่ยมชมหาประสบการณ์ชีวิตเพิ่มเติมทั้งในเมืองกรุง และสถานที่ท่องเที่ยวตามจังหวัดต่างๆได้อย่างมีความสุข ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันโดยไม่ต้องคำนึงถึงวันเวลาที่ต้องกลับมาทำงานมากนัก เหนื่อยก็พัก ขี้เกียจก็อู้งานได้เป็นวันๆ ไม่ต้องมีใครมาคอยกดดันเร่งใช้งานให้ปวดหัว

          ไม่นานหลังเลยช่วงเก็บเกี่ยวใหญ่ประจำปี คุณเน ก็ตัดสินใจออกบวชให้คุณพ่อคุณแม่ เข้าสู่โลกแห่งพุทธศานาที่วัดเลิศสวัสดิ์ หรือ วัดเขาจันทร์งาม ใน อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา เป็นวัดป่าโบราณที่ห่างไกลวัตถุนิยมของสังคมเมือง โดยตลอดเวลา 4 เดือนเต็มที่ใช้ชีวิตศึกษาธรรมะ หลวงพี่เน กินอยู่อย่างเรียบง่าย สมถะ ทั้งยังเป็นพระปฎิบัติสายพัฒนา ใช้ความรู้ทางช่างที่ได้รับมาจากคุณพ่อ บูรณะสิ่งต่างๆให้กับวัดอีกด้วย

หลวงพี่เนกับคุณพ่อ มีชื่อทางธรรมว่า พระอภิชาโต (อันนี้เห็นเพื่อนๆเรียกกัน) source

ติดป้ายหน้าซุ้ม ติดไฟริมถนน เทพื้นปูน เตรียมงานกฐินวัด source

ขุดรอกทรายออกจากท่อ source

ซ่อมบำรุงฝายกั้นน้ำ source

ช่วงปี 2556 : ขอเชิญท่านพบกับ..."ภาวะวิกฤติ"
          หลังบวชเสร็จศึกกลับมา ทิดเน ก็เริ่มลุยงานที่สวนต่อเพื่อหวังขยายไร่สวนเพื่อเพิ่มปริมาณพืชผลในการผลิต รวมถึงนำแนวคิดและทฤษฎี "หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง" มาประยุกต์ใช้ จนสามารถลดต้นทุนจ่ายลง แต่มีผลผลิตเพิ่มมากขึ้นไปอีก

          แน่นอนว่าทุกการลงทุนนั้นมีความเสี่ยง ในขณะที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ด้วยดี เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางหัวใจ เมื่อกรมทางหลวง เข้ามาแจ้งว่าจะมีการเวนคืนที่ดินทำถนนมอเตอร์เวย์ สายบางปะอิน-โคราช (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 6) เป็นถนน 8 เลน มีทางวิ่งฝั่งละ 4-6 ช่องทาง ระยะทางประมาณ 199 กิโลเมตร ซึ่งที่ตั้งของทั้งบ้านและพื้นที่ไร่ "บ้านสวนศุภรักษ์" ทั้งหมดของ คุณเน และครบครัว อยู่ตรงกลางของถนนพอดิบพอดี ถือเป็นข่าวร้ายที่พังทั้งความฝันและหยาดเหงื่อแรงกาย ของครอบครัวที่ช่วยกันสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยังเป็นป่ารกร้างแรกเริ่มทั้งหมด กำลังจะถูกพังราบด้วยแนวยาวของถนนหลวงสายนี้เข้าซะแล้ว 

          แถมช่วงหลังๆของปี เกิดภาวะความขัดแย้งทางการเมือง ส่งผลต่อเศรษฐกิจกระจ่ายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เพื่อนคู่ค้าที่เคยสั่งซื้อผลผลิตที่ปลูกไว้ ก็ไม่สามารถมารับซื้อได้ และยังถูกพ่อค้าคนกลางกดราคาในช่วงเวลาอย่างนี้อีก

จนท. มาส่งข่าว... ให้ทราบถึงที่บ้าน  source

หมุดตั้งกล้อง ของกรมทางหลวง 
ปักลงกลางชีวิตและความฝันของครอบครัวเล็กๆครอบครัวหนึ่ง   source

อยู่ตรงกลางเลนถนนเลย แบบนี้ถือว่าดวง ดวง...จริงๆ  source

พื้นที่ทำกินที่สร้างมากับมือกำลังจะหายไป  source

ช่วงปี 2557 : ยืนขึ้นบนพื้นที่ใหม่ ใหญ่กว่าเดิม!
          แม้ในปีที่ผ่านมาจะเจอช่วงจังหวะชีวิตที่ดูแย่ๆ ทั้งปัญหาพื้นที่ทำกินและรายได้ที่หดหายจากพิษเศรษฐกิจฝืดเคือง แต่โชคดีที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ เข้าใจและยังคงสนับสนุนในสิ่งที่พวกเขาทำ จึงช่วยเติมพลังในยามท้อให้กับลูกๆ และได้ผืนดินทำกินแห่งใหม่ คราวนี้มีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึง 23 ไร่ อยู่ในพื้นที่ ต.ป่าเต็ง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี (ใกล้ๆกับหัวหิน)

          เมื่อความผิดหวังจางลง ความมุ่งมั่นตั้งใจจึงกลับมาใหม่ โดยไม่รอช้า ในช่วงระหว่างปี 2556-2557 พวกเขาได้เข้าปรับปรุงพื้นดินทำกินแห่งใหม่ทันที รวมถึงการแสวงหาเพื่อนคู่ค้าและกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตพืชผลในระบบอินทรีย์ รวมถึงได้รับคำแนะนำช่องทางด้านการตลาดและมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากล ได้กำหนดราคากันเองและขายผลผลิตตรงกับผู้บริโภค โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง จึงทำให้คุณเน คุณฝน และครอบครัว มองเห็นอนาคตที่สดใสกว่าอย่างชัดเจน

          คุณเนและคุณฝน รวมถึงครอบครัว“ศุภจรรยาลักษ์” จึงได้ค่อยๆช่วยกันเริ่ม ปรับปรุงพื้นที่ ทั้งการถางป่า ทำถนนทางเข้าสวน ขุดบ่อ สระน้ำสำหรับพักน้ำไว้ใช้ในระบบ และลงมือทำซ้ำจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในพื้นที่เดิม จนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา มีวงจรการผลิตที่สมบูรณ์ครบ บนผืนดินทำกินใหม่นี้ได้อีกครั้ง

          พอมีความพร้อมในหลายๆด้านแล้ว ช่วงนี้เองที่ คุณฝน ได้ตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพจากงานวิศวกรในเมืองมาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัว ช่วยกันจับจอบเสียมร่วมเดินตามทางฝันกับคุณเน จนกระทั่งแต่งงานเป็นสามี-ภรรยา มีชีวิตคู่ที่สุขสมบูรณ์ได้ในที่สุด

ขุดสระน้ำที่ 1 ใช้ในระบบการเกษตร  source

ขุดสระน้ำที่ 2 ตามร่องน้ำธรรมชาติเดิม ไว้ใช้ในอนาคตและเพื่อความสวยงาม  source

ปลุกหญ้าแฝกกันดินพัง  source

ขาดไม่ได้ในระบบอนุรักษ์น้ำคือ ฝายชลอน้ำ  source

แกลบหมักขี้วัวสำหรับผสมในแปลงปลูก คลิกตามไปเอาสูตรกันได้เลยที่ บ้านสวนศุภรักษ์

ยุคใหม่ของเกษตรอินทรีย์ และวิธีการปลูกใหม่ๆ   source

สามารถกลับมาทำเกษตรกรรม แบบควบคุมได้ทั้งระบบอีกครัง  source

ผลผลิตที่ได้สวยสดงดงามน่ากิน และที่สำคัญ "ปลอดภัย" จากสารเคมี  source

มีผู้ร่วมอุดมการณ์มาร่วมเดินตามฝัน เป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัวแล้ว  source

ผักอินทรีย์สดๆ จากบ้านสวนศุภรักษ์ มาให้บริการแล้วจ้า source


ช่วงปี 2558 - ปัจจุบัน
          บนพื้นที่เพียง 1 ใน 23 ไร่ ก็ถูกเริ่มต้นปลูกพืชพันธุ์ไม้นาๆชนิดโดยเริ่มต้นปลูกหญ้าเนเปียร์ ส่งขายให้ฟาร์มเลี้ยงโคนม และส่วนหนึ่งบนพื้นที่ขนาด 1 งาน(ประมาณ 100 ตรม.) ก็เขียวขจีไปด้วยพืชผักชนิดต่างๆ ที่สะดุดตาน่าจะเป็นสีสันสดใสของผักสลัด ที่ตั้งแปลงปลูกไว้สำหรับส่งให้กลุ่มตัวแทนจำหน่ายในโครงการที่เข้าร่วม สัปดาห์ละ 30-40 กิโลกรัม โดยตั้งเป้าการผลิตให้อยู่ที่ 100 กิโลกรัม คาดว่าเฉพาะรายได้สำหรับส่วนนี้น่าจะประมาณ 30,000 บาทต่อเดือน ยังไม่รวมผลผลิตอื่น ภายใต้ชื่อไร่เดิม ในยุคใหม่ของเกษตรอินทรีย์ของ "บ้านสวนศุภรักษ์" จ.เพชรบุรี ที่พวกเขาภาคภูมิใจ และกลับมาใช้ชีวิตอิสระได้อย่างอบอุ่นกับครอบครัวตามเดิมอีกครั้ง

          โดยนอกเหนือจากทฤษฎีและประสบการณ์ที่นำมาใช้ในพื้นที่แห่งใหม่นี้แล้ว พวกเขายังคงยึด "หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง" ที่เหมาะสำหรับชาวเกษตรกรไทย มาใช้เดินหน้าพัฒนาต่อเนื่อง จนครบวงจรอยู่ได้โดยพึงพาตนเองทั้งกระบวนการ ตามที่พวกเขาได้พิสูจน์จนเห็นผลจริงกันมาแล้ว เพื่อความฝันและชีวิตยังยืนอันแท้จริงของพวกเขาต่อไป


เรียบเรียงข้อมูลโดย : เรื่องเด็ดเจ็ดย่านน้ำ
ขอบคุณที่มา : เน บ้านสวนศุภรักษ์ เกษตรอินทรีย์

ถูกใจอัพเดททุกเรื่องเด็ด
บอกต่อเรื่องนี้ให้เพื่อนคุณ





About เรื่องเด็ดเจ็ดย่านน้ำ

ขอบคุณทุกเรื่องเด็ด และเรื่องราวดีๆ จากทุกแง่มุมในสังคม เราจะหามาแชร์และส่งต่อให้เพื่อนบนโลกโซเชียลได้รับรู้ รับทราบกันอย่างทั่วถึง คุณเองก็สามารถทำได้ "กดแชร์" เรื่องเด็ดที่คุณชอบเลยสิ!