"กินเร็ว กินเยอะเกินไปต่อมื้อ" เป็นพฤติกรรมเสี่ยงโรคอ้วนและโรคกรดไหลย้อน รวมถึงการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดแล้วรีบกลืน กินอาหารรสจัด กินไม่ครบหมวดหมู่ กินแล้วนอน ดื่มแอลกอฮอล์ ขับถ่ายไม่เป็นเวลาทำให้มีอาหารค้างอยู่ในกระเพาะและลำไส้จนพาตัวเองเข้าสู่ภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบทางเดินอาหารตั้งแต่ต้นจรดปลายกระบวนการย่อยและดูดซึม
การเกิด GERD โรคกรดไหลย้อน
วีดีโอสาธิตโดย : โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
"เป็นนานต้องผ่าตัด" เมื่อเป็นหนักแพทย์วินิจฉัยด้วยการสอดกล้องลงคอเช็คทางเดินอาหาร หรือกลืนสารทึบแสงแล้วเอกซเรย์ หากรักษาด้วยยาเป็นเวลานานแล้วไม่หายหรือเกิดผลข้างเคียงจากยา ก็ต้องผ่าตัดกล้ามเนื้อหูรูดปลายหลอดอาหารกลายเป็นเรื่องใหญ่ ใช้เงินมากและไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว
"โรคกรดไหลย้อน หายได้" สำหรับผู้ที่เคยปฎิบัติตามแพทย์สั่งมาแล้วคงเข้าใจดี ในทุกๆ เคสของผู้ป่วยส่วนใหญ่ 95% เมื่อแพทย์ตรวจเบื้องต้นจะให้ยาเคลือบกระเพาะอาหาร ยาลดกรด เพื่อบรรเทาอาการแต่สิ่งสำคัญตือคำแนะนำของแพทย์เรื่องการปรับพฤติกรรมในการกินอาหารข้างต้นของคุณใหม่ซะมากกว่า รวมถึงลดชนิดอาหารที่ย่อยยาก ลดแป้งเพิ่มผัก หากนำผักมาลวกต้มพอสุกก่อนก็ยิ่งช่วยให้ย่อยง่ายขึ้นและมีกากใยอาหารสูงอีกด้วย ตามล่างนี้
ผักที่มีฤทธิ์เย็น
เช่น บวมหอม (บวบกลม) มีฤทธิ์เย็น แนะนำให้ทุกคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อนทาน โดยเฉพาะผู้ที่มีสาเหตุจากกรดเกินในกระเพาะอาหารและควรนำมาลวกต้มทานให้มากในมื้อเย็น บวบหอมลวกต้มจะช่วยลดอาการแสบท้อง ร้อนท้อง แสบหน้าอก ปวดท้องเหมือนลำไส้ถูกบิดได้
ผักสีเขียวที่มีกากใยสูง
เช่น คะน้า, ผักกวางตุ้ง, ผักกาดแก้ว(ผักสลัด), ตำลึง, ผักบุ้ง, บล็อคโครี่ ฯลฯ ผักเหล่านี้ควรทานให้มากในมื้อเช้าและมื้อกลางวัน นำมาลวกต้มรับประทาน และเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน กากใยในผักเหล่านี้ ช่วยซับกรด ดูดซับน้ำตาลส่วนเกิน ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว บรรเทาอาการท้องผูก ให้มีการขับถ่าย และไล่ลมออกทางทวารหนัก
ผักสีขาวที่ย่อยง่าย
ผักสีขาวเป็นผักที่ย่อยง่าย เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ดอกกะหล่ำปลี โตวเหมี่ยว นำมาลวกต้มทานให้มากในมื้อเย็น ประโยชน์พิเศษของกะหล่ำปลี นักวิจัยหลายท่านเห็นด้วยกับการใช้กะหล่ำปลี ในการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร เพราะกะหล่ำปลีประกอบด้วยซัลเฟอร์ ซึ่งช่วยในขบวนการหายของแผล สมานแผล รักษาการอักเสบ ช่วยซ่อมแซมผิวหนังและช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย
ผักที่เคี้ยวแล้วเป็นเมือก
ผักเหล่านี้ เมื่อเคี้ยวจะมีน้ำเป็นเมือก เหนี่ยวๆข้นๆออกมา คล้ายกับน้ำราดหน้า กระเพาะปลา เช่น ผักปลัง ผักดอกกระเจี๊ยบ ผักเหล่านี้เหมาะสำหรับคนที่มีสาเหตุจากความเครียด มีกรดเกินในกระเพาะอาหาร โดยนำผักเหล่านี้มาลวกต้มรับประทาน เพื่อให้เมือกเหล่านี้ ไปเคลือบกระเพาะและลำไส้ ป้องกันอาการแสบท้อง ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
เม็ดแมงลัก
มีกากใยสูง เหมาะสำหรับดูดซับน้ำตาลส่วนเกิน ทานเม็ดแมงลักตอนที่หิวข้าวและเริ่มแสบท้องในมื้อเช้า บรรเทาไปก่อน และหากในช่วงดึกมีอาการหิวและแสบท้องขึ้นมาอาจจะทานเม็ดแมงลัก เป็นการป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
กล้วยน้ำว้า
กล้วยน้ำว้า เพราะมีฤทธิ์เย็นในกระเพาะอาหารแต่จะมีฤทธิ์ร้อนที่ลำไส้ในการช่วยย่อยอาหาร ใช้เคลือบลำไส้ได้ดี เพราะจะเป็นเมือกเมื่ออยู่ในลำไส้ แต่สำหรับผู้ป่วยเบาหวานร่วมด้วยไม่ควรทาน
ผักผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยง
1. ผลไม้ที่มีรสหวาน มีน้ำตาลทุกชนิด เช่น ลำไย เงาะ แตงโม ฯลฯ ผลไม้เหล่านี้ มีน้ำตาลในปริมาณที่สูง เมื่อเรารับประทานเข้าไป น้ำตาลในผลไม้จะมีฤทธิ์เป็นกรดที่ลำไส้เล็ก
2. ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวทุกชนิด มะเขือเทศ แก้วมังกร ฝรั่ง เสาวรส มะนาว เพราะมีวิตามินซีสูง เมื่ออยู่ในกระเพาะอาหารจะมีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้จุกท้อง ท้องอืด และสำหรับคนที่เป็นหนัก จะมีอาการแสบท้องร่วมด้วย
เรียบเรียงข้อมูลใหม่โดย : เรื่องเด็ดเจ็ดย่านน้ำ
ขอบคุณที่มา :
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ - ศูนย์ทางเดินอาหาร-ตับ
ทันตแพทย์จักรชัย และ ทันตแพทย์หญิงภัทรา
กดถูกใจเพจเพื่อติดตามอัพเดททุกเรื่องเด็ด
บอกต่อเรื่องนี้ให้เพื่อนคุณ