"กูตาย.. มึงก็ตาย!!" อ.เผ่าทอง ทองเจือ ตะโกนขู่สู้โรคมะเร็งระยะที่ 4 จนรักษาหาย!!



"ขอบคุณอย่างมาก" คำบอกกล่าวของอาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ หลังถ่ายทอดประสบการณ์การเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่ 4 ส่งต่อมาแบ่งปันสู่ผู้คน เพื่อเป็นวิทยาทาน เป็นธรรมทาน ให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็ง และทุกคนเพื่อเพิ่มการใส่ใจดูแลสุขภาพ

"มะเร็ง" อาจเป็นเพชฌฆาตร้ายอันดับหนึ่ง ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกอย่างไม่มีเยื่อใย แต่ใช่ว่าคนเป็นมะเร็งจะต้องนอนรอความตายสถานเดียว ยังมีคนอีกไม่น้อยที่โชคดีรอดจากการเป็นเหยื่อมัจจุราชได้อย่างอัศจรรย์ พวกเขามีคาถาอะไรดีในการพิชิตมะเร็ง และมะเร็งทำให้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ตามค้นหาคำตอบ เพื่อจุดประกายความหวังให้ผู้ป่วยมะเร็งได้มีกำลังใจต่อสู้ กับโรคร้ายนี้ไปด้วยกันเลย



"อ.เผ่าทอง ทองเจือ" อดีตคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2536 หรือราว 23 ปีก่อน ในขณะนั้นด้วยอายุ 37 ปี ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขั้นที่ 4 และจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 3 เดือน วินาทีแรกที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง โลกทั้งโลกแทบดับลงตรงหน้า เขานอนซมหมดกำลังใจอยู่หลายวัน จนกระทั่งนึกถึงคำพูดของแม่ ทำให้มีสติฮึดสู้อีกครั้ง

"พบสิ่งผิดปกติแต่นิ่งนอนใจ" เมื่อก่อนนี้ ผมคลำเจอก้อนเนื้อขนาดเท่าเม็ดถั่วลิสง ที่ราวนมด้านขวา ตอนนั้นไปทำวิจัยด้านโบราณคดีที่ประเทศอังกฤษ 3 เดือน เป็นเรื่องบังเอิญมาก เพราะปกติชอบอาบน้ำจากตุ่ม ไม่ใช้ฝักบัวเลย แต่พอไปอยู่อังกฤษต้องอาบฝักบัว ทำให้คลำพบความผิดปกติ ตอนนั้นคิดว่าไม่เป็นอะไร เพราะกดยังไงก็ไม่เจ็บ เพียงแต่สังเกตว่าขนาดก้อนเนื้อโตขึ้นเรื่อยๆ จนใหญ่เท่าไข่เป็ด!! พอกลับเมืองไทยต้องขึ้นเหนือไปทำธุระที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เลยแวะไปหาเพื่อนที่เป็นหมอประจำโรงพยาบาลสวนดอก เล่าอาการให้ฟัง และวินิจฉัยตัวเองว่าคงไม่เป็นอะไร เพราะกดยังไงก็ไม่เจ็บ!! ปรากฏว่าเพื่อนหน้าเสียเลย รีบเรียกหมอเฉพาะทางมาตรวจ ถ้าถึงขั้นกดแรงๆ ยังไม่เจ็บ แสดงว่าอาการหนัก!! ตอนนั้นคุณหมอ พญ. บุญสม ชัยมงคล สั่งให้เข้าห้องผ่าตัดทันที เพื่อตัดก้อนเนื้อออกมาตรวจ เข้าไปตั้งแต่บ่ายโมง จนถึง 6 โมงเย็นในวันเดียวกัน

"ข่าวร้าย... " คุณหมอ บอกว่า "คุณต้องทำใจนะ เพราะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ขั้นที่ 4 คงมีชีวิตอยู่ได้แค่ 3 เดือน!!" ตอนนั้นปล่อยโฮเลย เหมือนถูกพิพากษา ไม่มีเรี่ยวแรงขยับตัว คิดแต่ว่ายังไม่อยากตาย และไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ตอนนั้นเราอายุแค่ 37 ปี กำลังมีหน้าที่การงานรุ่งโรจน์ จะมาตายตอนนี้ไม่ได้ แล้วแม่จะอยู่ยังไง มีลูกแค่คนเดียว แม่เคยพูดตลอดว่า ความทุกข์ที่สุดของแม่ คือเห็นลูกตายก่อนแม่ นึกถึงคำพูดนี้แล้วทำให้ฮึดสู้ คิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อแม่ เราจะตายก่อนแม่ไม่ได้!!

"เร่งรักษาจนเกือบตาย" ถ้าไม่อยากตายก็ต้องมารักษากัน คุณหมอกระตุ้นให้สู้ แล้วบอกให้ลองรักษาด้วยการให้คีโมดับเบิลโดส โดยหมอจะอัดเข้าไปที่เส้นเลือดโดยตรง ถ้ารอดก็รอดไปเลย เราอยากรอดเพื่อแม่ เลยตอบตกลง แต่ยังไม่กล้าบอกแม่ว่าเป็นมะเร็ง เพราะยังทำใจไม่ได้ ปรากฏว่าพอหมอฉีดยาดับเบิลโดสร่างกายเราทนไม่ไหว หัวใจหยุดเต้นและไม่รู้สึกตัว ปั๊มหัวใจยังไงก็ไม่ขึ้น จนทางโรงพยาบาลเข็นร่างไปไว้ที่ห้องซีซียู มีคนไข้นอนตายอยู่แล้ว 1 คน ตอนนั้นสลบไป 7 วัน จนวันสุดท้ายคุณหมอลองใช้ไฟฟ้าช็อต ทำให้ฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ แต่ยังลืมตาไม่ขึ้น จำได้แม่นเลยว่ามีนักศึกษาแพทย์เข้ามาดู และได้ยินเสียงพูดว่าศพนี้ซวยมากเลย เป็นทั้งโรคหัวใจและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผมตะโกนเถียงสุดแรงว่า "ไม่! ไม่ซวย! ต้องไม่ซวย!"


"ทรมานต่อจากการรักษา" หลังรอดจากการให้คีโมดับเบิลโดสมาได้ หมอก็เริ่มให้คีโมปกติ ให้ไปทั้งหมด 40 เข็ม ต้องนอนโรงพยาบาลอยู่ 40 อาทิตย์ ทรมานมาก ทั้งอาเจียน, ไข้ขึ้น เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกันทุก 3 ชั่วโมง หมอบอกว่าให้คีโมแล้วผมจะร่วง พอเข็มแรกผ่านไปก็ร่วงจริงๆ เรียกว่าไม่มีขนเหลือสักเส้นบนร่างกาย ช่วงนั้นเริ่มมีข่าวลือว่า "เผ่าทอง" เป็นเอดส์!! แต่คุณแม่ก็ให้กำลังใจ บอกว่าขอให้ลูกหายเร็วๆ นะ ตั้งใจรักษาตามหมอ แม่อยู่กรุงเทพฯ คนเดียวได้ ไม่ต้องห่วง ระหว่างที่นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล วันไหนที่ทนไม่ไหว รู้สึกท้อแท้ ก็จะโทรศัพท์หาแม่ แต่จะพยายามทำเสียงเข้มแข็ง บอกแม่ว่าลูกสบายดี

"เนื้อร้ายลุกลามอีก" แม้การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองในช่วงปีแรกจะได้ผลเกินคาด แต่มะเร็งร้ายกลับลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นที่รักแร้, ต้นคอทั้งสองข้าง, ตับ, ขาหนีบ และต่อมลูกหมาก ทำให้ "อ.เผ่าทอง" ต้องทนทุกข์ทรมานกับการให้คีโมอย่างต่อเนื่องถึง 6 ปีเต็ม พร้อมกับการผ่าตัด 9 ครั้ง!! กว่าจะมายืนยิ้มได้อย่างทุกวันนี้ นอกจากกำลังใจที่ดีแล้ว การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต ก็เป็นกุญแจสำคัญในการพิชิตมะเร็ง

"กูตายมึงก็ตาย !!" ร้องตะโกนขู่มะเร็งทุกเช้า เพื่อปลุกใจตัวเอง และคิดตลอดว่าเราต้องอยู่เพื่อแม่!! ถึงแม้ท่านจะเสียชีวิตไปได้หลายปีแล้ว ตั้งแต่เป็นมะเร็งได้ปรับเปลี่ยนชีวิตการกินอยู่ทุกอย่าง เพราะค้นพบว่าการกินมีผลต่อโรคภัยไข้เจ็บมาก เวลาเป็นอะไรต้องแก้ด้วยอาหาร อย่าไปพึ่งยา คุณหมอแนะนำให้ทานอาหารย่อยง่ายๆ ไม่เผ็ดไม่มัน เลิกทานไก่และหมู เพราะมีฮอร์โมนกระตุ้นมะเร็ง ควรทานเนื้อวัวเสริมโปรตีน แต่เราไม่ทานตั้งแต่เด็ก เลยเปลี่ยนมาทานปลาย่างปลาลวกแทน และเน้นทานผักผลไม้เยอะๆ หลังจากเป็นมะเร็งยังค้นพบสัจธรรมหลายอย่าง รู้สึกว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน เริ่มมีความพอเพียงมากขึ้น ไม่โลภมากอยากมีอยากได้แบบสมัยก่อน ทุกวันนี้คิดแต่ว่า เราโชคดีได้เกิดใหม่อีกครั้ง ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม"



"ถ้าใจสู้ กายก็รอด" ปัจจุบัน อาจารย์เผ่า ทองเจือ ในวัยย่างเข้าสู่อายุ 60 ปี กลับมามีสุขภาพจิตและร่างกายที่แข็งแรงยิ่งกว่าเดิม เป็นหนึ่งในเพียงไม่กี่คนของผู้ที่ต่อสู้กับมะเร็งร้ายได้สำเร็จ หลังรอดจากมะเร็งและการรักษามะเร็งมาได้ราวปาฏิหาริย์ ปัจจุบันใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ดำเนินชีวิตด้วยการเป็นพิธีกร ในรายการ "เปิดตำนานกับเผ่าทอง" ทาง PPTV HD 36 จึงขอฝากเตือนผู้อ่านเรื่องการระมัดระวังการกินการอยู่ หมั่นดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง ฝึกการทำจิตใจให้เข้มแข็งเพื่อต่อสู่กับทุกปัญหาที่จะเข้ามา และอย่าลืมที่จะแบ่งปันเรื่องราวนี้ต่อ ๆ กันไป เพื่อเป็นธรรมทานและสร้างผลบุญต่อตนเองและผู้อื่นด้วย

เรียบเรียงข้อมูลใหม่โดย : เรื่องเด็ดเจ็ดย่านน้ำ
ที่มา : FB @เผ่าทอง ทองเจือ
อ้างอิง : www.pptvthailand.com

กดติดตามอัพเดททุกเรื่องเด็ด
บอกต่อเรื่องนี้ให้เพื่อนคุณ


About เรื่องเด็ดเจ็ดย่านน้ำ

ขอบคุณทุกเรื่องเด็ด และเรื่องราวดีๆ จากทุกแง่มุมในสังคม เราจะหามาแชร์และส่งต่อให้เพื่อนบนโลกโซเชียลได้รับรู้ รับทราบกันอย่างทั่วถึง คุณเองก็สามารถทำได้ "กดแชร์" เรื่องเด็ดที่คุณชอบเลยสิ!