พระราชดำรัสของในหลวง รัชกาลที่ 9 วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2518




พระราชดํารัส

พระราชทานแก่นักศึกษา พ่อค้า ประชาชน มูลนิธิองค์การต่าง ๆ

ที่เข้าเฝ้า ฯ ถวายพระพรชัยมงคล

เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๘

ณ ศาลาดุสิดาลัย พระราชวังดุสิต

วันพฤหัสบดีที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘


          อันดับแรก ก่อนที่จะขอบใจท่านทั้งหลาย ต้องขออภัยท่านทั้งหลายก่อนที่ได้ลงมาช้ากว่ากําหนดที่ได้แจ้งถึงเกือบชั่วโมง ซึ่งเนื่องจากมีคณะต่าง ๆ ได้ดักอยู่ข้างบน และก็ได้มาให้พร ทั้งได้คุยกับเขาเป็นเวลาอาจนานเกินไปหน่อย จึงลงมาช้า ทําให้ท่านทั้งหลายต้องเดือดร้อนมาคอยอยู่อย่างเหนื่อย เพราะว่าอยู่ในที่จํากัด และต้องยืนอยู่ เจ้าหน้าที่อาจไม่ได้บอกว่าจะมาช้า ก็เลยต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ทั้งนี้ก็ขอบใจท่านทั้งหลาย

          ตามที่อาจารย์ประภาศน์ อวยชัย ได้กล่าวว่า ผู้ที่มาอวยพรในวันเกิดครั้งนี้ในวันนี้ก็มีทั้งหมด แต่ก็ไม่ทราบว่าลืมหรืออย่างไร ไม่ได้พูดถึงเกษตรกร วันนี้นอกจากสมาชิก สมาคม มูลนิธิหรือฝ่ายทหารตํารวจ พลเรือน เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ทางสถาบันทางศาสนา กุศล แพทย์รู้สึกแพทย์นี่ อภิสิทธิ์มากในด้านต่าง ๆ แต่ลืมว่ามีสมาชิกแห่งสหกรณ์และกลุ่มกสิกร ๒ กลุ่มมาในวันนี้ด้วย จึงต้องขอขอบใจเป็นพิเศษแก่กลุ่มกสิกรทั้งสอง ที่ได้มาปะปนอยู่ในชุมนุมชนนี้ และทําให้ชุมนุมนี้มีความพร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้น นอกจากนี้ก็มีผู้แทนทางด้านสถาบัน ทางด้านบริษัทห้างร้านและอุตสาหกรรม แต่ท่านก็ไม่ได้บอกว่ามีกรรมกรเหมือนกัน ก็ขอขอบใจกรรมกรที่ได้มาให้พรในวันนี้ ทําให้ที่ประชุมนี้ยิ่งสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

          นอกจากนี้ก็มีคณะที่ไม่ได้เข้าสังกัดใด ที่เรียกว่าคณะบุคคล อีก อันนี้ก็ไม่ทราบว่าจะขอบใจอย่างไร เพราะว่าไม่ทราบว่าได้ให้ชื่อว่าเป็นคณะบุคคลในประเภทใด ในอาชีพใด แต่ก็ต้องขอขอบใจเป็นพิเศษเหมือนกันที่ได้มาร่วมประชุมนี้.....ไม่ใช่เป็นประชุม.....ชุมนุมก็ไม่ได้แต่ก็มาร่วมในที่นี้เพื่อที่จะมาให้พร เพราะทําให้ถือว่าทุกท่านที่มาอยู่ในที่นี้เป็นเสมือนเป็นผู้แทนของคนทั้งชาติ อันนี้ที่ทําให้ปลื้มใจ ทําให้ปลื้มใจว่าท่านทั้งหลายมาให้พอและให้เป็นของขวัญ ความจริงของขวัญที่ท่านให้มีแบ่งเป็น ๒ ประเภท หรือ มากกว่า ของขวัญที่ให้มาก็เป็นดอกไม้เป็นสิ่งของก็ประเภทหนึ่งซึ่งเห็นได้และเป็นวัตถุที่จะใช้ได้ในเวลานี้ และนําไปใช้ต่อไปได้ เพื่อเป็นประโยชน์ที่งอกออกไปด้วยซ้ํา ก็เป็นประเภทหนึ่ง ของขวัญอีกประเภทหนึ่ง คือเจตนาดีที่ท่านทั้งหลายได้ตั้งจิตอธิษฐาน เป็นพรที่ให้มา

          และที่ท่านทั้งหลาย ได้ตั้งใจที่จะปฏิบัติงานโดยดีของขวัญอันนี้แบ่งเป็นสองพวก..... สองอย่าง..... ไม่ใช่สองพวก เป็น ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งคืองานที่ทําเป็นประจําของแต่ละคน แต่ละคนก็มีหน้าที่ที่จะปฏิบัติงานของตน ที่เรียกว่าอาชีพของตน ถ้าทําดีก็เป็นสิ่งที่น่าชมและน่าปลื้มใจ เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง เพราะว่าถ้าใครทํางานดี ก็ได้รับชมเชยได้รับความก้าวหน้า และในเวลาเดียวกัน ถ้าทําดีก็เท่ากับได้ช่วยให้กิจการที่ตนทําได้มีความเจริญขึ้น และให้กิจการที่ตนทํามีความเจริญในทางที่ดีที่ชอบ ก็ทําให้ส่วนรวมของประเทศชาติบ้านเมืองมีความก้าวหน้าโดยดี ฉะนั้น ทุกคนที่ทําหน้าที่ตามอาชีพของตนหรือตามหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ อย่างเสียสละ เพื่อให้งานสําเร็จลุล่วงไปโดยดีนั้น ก็เป็นสิ่งที่สร้างเสริมความดีแก่ประเทศชาติในตัว ประเภทที่สองคืองานที่ตนจะทํานอกเหนือจากหน้าที่การงานที่มีอยู่ คืองานที่เอื้อเฟื้อคนอื่น งานที่จะสร้างสรรค์ คิดค้นอะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ จะโดยตรงหรือโดยทางอ้อมนั้นก็เป็นสิ่งที่สมควรที่จะทําไม่ทําให้งานประจํานั้นเสียไป ตรงข้ามส่งเสริมให้งานที่ทําโดยประจําให้ดีขึ้น และไม่เสียแรงงานของตนส่งเสริมให้อยู่ดีกินดีขึ้น และทําให้มีจิตใจเป็นส่วนรวม จิตใจที่สามัคคีขึ้น อันนี้สิเป็นของที่เท่ากับเป็นของขวัญที่นํามาให้อีกประการหนึ่ง

          นอกจากนี้ ที่ทางราชการก็ได้ประกาศว่า ปีนี้จะฉลองวันเฉลิมอย่างประหยัด ก็เห็นด้วย เพราะว่าถ้าทําอะไรที่ฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ มันก็เสียหายไปเป็นควัน เป็นสิ่งที่ทําให้ไม่เกิดประโยชน์ หรือบางทีก็อาจเกิดเสียได้เพราะว่ารกรุงรัง แต่ที่มีหลายฝ่ายที่ไม่ได้อยู่ในชุมนุมนี้ที่ออกไปปฏิบัติงานเพื่อช่วยให้บ้านเมืองอยู่เย็น เพื่อให้มีประโยชน์แก่ส่วนรวม ก็มีมาก บุคคลเหล่านี้ ก็ขอฝากขอบใจไปด้วยที่เขาปฏิบัติดีชอบอย่างนั้นทั้งหมดนี้ก็หมายความว่า สิ่งที่ท่านทําเป็นประจําตลอดมาทั้งในหน้าที่ทั้งนอกหน้าที่ ทั้งเป็นธรรมดา ทั้งเป็นพิเศษนั้น ถ้าทําดีแล้ว ข้าพเจ้าขอรับทั้งหมดเป็นของขวัญ ซึ่งเชื่อว่าของขวัญนี้จะไปใช้ประโยชน์ได้มาก เพราะในสมัยปัจจุบันนี้บ้านเมืองของเราก็ยังอยู่เป็นบ้านเมืองดังที่ประจักษ์เห็นอยู่ ทําไมเกิดยังเป็นบ้านเมืองอยู่อย่างนี้ ไม่พังลงไป ดังที่มีใครต่อใครก็ได้คาดคะเนเอาไว้ ว่าเมืองไทยจะไม่อยู่ในแผนที่โลกแล้วภายในปลายปีนี้ ข้าพเจ้า ก็ได้ยินมาและต่อมาเมื่อเมืองไทยยังอยู่ในโลก ก็ได้ยินมาอีกว่าปีหน้าไทยแลนด์นี้จะกลายเป็นตายแลนด์ ในแผนที่ที่เห็นไว้ว่าเมืองไทยนี้จะเป็นตายแลนด์ เห็นมานานแล้ว แล้วก็เข้าใจว่าที่ทําไว้อย่างนั้น ก็เป็นแผนการณ์ที่แท้อย่างหนึ่งที่อยากให้เป็นตายแลนด์ พวกเราไม่ยอมให้เป็นตายแลนด์ ไม่อยากให้เป็น ก็นึกว่าที่ให้เป็นตายแลนด์นั้นก็เป็นการข่มขวัญ แต่ถ้าเราทุกคนทําหน้าที่ดีแล้วก็พยายามที่จะสามัคคีกัน ช่วยกัน เราก็ไม่ตาย

          แล้วก็ข้อพิสูจน์ ก็ทุกคนที่ยืนอยู่ที่นี้ก็ยังไม่ตาย ก็ไม่ใช่ตายแลนด์ ที่นี้ปีหน้าเขาบอกเป็นปีวิกฤต เป็นปีวิกฤติก็คงเป็นวิกฤตทุกปีวันนี้ก็เป็นวันวิกฤติถ้าดูถ้าเชื่อฤกษ์ยามอะไรต่าง ๆ ไปดูซิใครที่เป็นหมอดูนะไปดูวันนี้ฤกษ์ไม่ดีก็ไม่ทราบไปดูอะไรเป็นวินาศ อะไรเป็นมรณะ อะไรเป็นอริมีทั้งนั้น ดาวโน้นดาวนี้ที่ให้คุณก็ไม่ให้คุณ ดาวที่ให้ร้ายก็เกิดอึกทึกครึกโครมขึ้นมา ไปดูก็ได้ไปถามอาจารย์ต่าง ๆ ก็ได้ว่าฤกษ์ดีไหม จับเวลาก็ได้จับเวลาเดี๋ยวนี้ถ้าอยากไปดูไปดู ไปผูกดวง เวลานี้เลวทั้งนั้น แล้วก็จะส่งผลให้เรามีหายนะ จะล้มตายเป็นระนาว จะเกิดอาเพศต่าง ๆ ถ้าดูจริง ๆ ก็เป็นจริง ถ้าเชื่อก็เชื่อได้ทีนี้ได้ข่มขู่ท่านทั้งหลายอย่างรุนแรงแล้วว่าท่านต้องตายทุกคน แต่ทําไมท่านต้องหัวเราะ เพราะว่าทุกคน ถ้ามีความมั่นใจจริง ๆ ว่าเรามีความซื่อสัตย์มีความตั้งใจแน่วแน่ ทําอะไรไม่ใช่ทําสําหรับได้ชื่อเสียงเฉย ๆ หรือได้อํานาจ แต่ทําเพื่อรักษาส่วนรวม คือส่วนรวมนี้เป็นที่อยู่ของเรา เป็นที่อาศัยของเรา ถ้าทุกคนมีความมุ่งมั่นที่ไม่ได้คิดถึงสิ่งที่มาข่มขู่ ใช้ความคิดที่เต็มไปด้วยเหตุผลไม่ใช่ว่าจะคัดค้านไสยศาสตร์ข้าพเจ้าไม่ได้สนับสนุนไม่ได้คัดค้ายไสยศาสตร์แต่ถ้าใครมาขู่เข็ญว่าจะแย่หรือจะตาย เราก็ต้องมาดูด้วยเหตุผล เดี๋ยวนี้เราตายหรือเราเป็น ก็ต้องบอกว่าเราเป็น ถึงยังมาพูดกันได้อย่างนี้

          ถ้าตายแล้ว ก็ต้องเป็นผุยผงไปแล้ว วันหนึ่งก็ต้องตาย แต่ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ เราทําอะไรด้วยความที่เรียกว่าแน่วแน่ แต่ที่สําคัญที่สุดทําด้วยเหตุผลที่แท้จริง คือทําเพื่ออะไร ทําเพื่อความสุข ทุกคนก็ต้องการความสุขแต่ว่าถ้าความสุขเป็นของบุคคล เป็นความสุขที่โง่ เพราะว่าปีที่แล้วในที่ประชุมมีคนน้อยกว่านี้แต่ว่าแล้วก็ยืนกันแน่นอยู่ ก็เคยพูดเหมือนกัน ถ้าคน ๆ หนึ่งในที่นี้จะแสดงว่าความสุขของข้าพเจ้า จะต้องมีที่ยืนให้มากกว่าที่ยืนอยู่นี้อย่างนี้ไม่สบาย ทราบดีว่าไม่สบายยืนอย่างนี้ต้องการความสุขมากกว่าแต่ผู้เดียวคนอื่นก็แย่ คนอื่นแย่แล้ว คนที่ต้องการความสุขส่วนตัวนั่นจะแย่ เพราะว่าคนอื่น แม้จะจิตใจดีเท่าไหร่ ๆ จะอดกลั้นไม่ไหวที่จะตําหนิติเตียน หรือถึงขั้นที่จะลงมือจัดการกับผู้ที่เห็นแก่ตัวนั้น ฉะนั้น สําคัญที่สุดก็ต้องอดทนและรักษาความสุขของตน และเห็นผลประโยชน์ของผู้อื่นด้วย สามัคคีกัน ปรองดองกัน นี่ความหมายของความสามัคคีใคร ๆ ก็บอกว่าให้สามัคคีปรองดองการช่วยเหลือเพื่อประเทศชา ติแปลว่าอะไรก็ไม่รู้ แต่ว่าลองดูคนหนึ่งคนใดที่อยู่ท่ามกลางนี้แสดงตนว่าต้องการความรู้สึกส่วนตัว ขอต้องการที่ยืนอยู่หนึ่งตารางเมตรแทนที่จะมีเพียงครึ่งหรือไม่ถึงครึ่งตารางเมตร แสดงสักทีจะเป็นอะไร ฉะนั้น ก็อยู่ได้ที่ท่านทั้งหลายอยู่ได้ก็เพราะว่ามีความสามัคคีปรองดองกัน คนไหนที่ตัวโตหน่อยก็กินที่มากหน่อย ตัวเล็กก็กินที่น้อยกว่า แต่บางคนก็ตัวเล็ก กินที่น้อย ถูกบีบบังคับก็เป็นลมไป พวกที่อยู่รอบด้านก็มีความสามัคคีความปรองดอง ความเมตตาซึ่งกันและกัน ก็ช่วยให้ผู้อื่นนั้นได้มีที่หายใจ ช่วยกัน ร่วมกัน

          ประเทศชาติก็เหมือนกัน ถ้าร่วมกันจริง ๆ ก็อยู่ได้ทีนี้มาคิดอยู่อย่างหนึ่ง การอยู่นี้มีหลายพวก ถ้าอยากแบ่งเป็นพวก โดยมากชอบแบ่งเป็นพวก เป็นพวกทหาร พวกพลเรือน หรือตํารวจ ผู้ที่อยู่ในเครื่องแบบ และพวกที่อยู่นอกเครื่องแบบ แบ่งเป็นพวกเจ้าหน้าที่กับพวกประชาชน แบ่งเป็นผู้ใหญ่เป็นผู้น้อย เป็นผู้เฒ่าไดโนเสาร์กับนักศึกษาและนักเรียน แบ่งกันทั้งนั้น ชนชั้นต่าง ๆ แบ่งกัน ถ้าแบ่งกันอย่างนี้อยู่กันไม่ได้ต้องช่วยกันทั้งนั้น การอยู่ร่วมกันได้ยินกันมาก ว่าคนในประเทศก็ตามหรือระหว่างประเทศมาเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ได้ยินมา ฟังแล้วก็หมั่นไส้บอกว่าลิ้นกับฟันมันก็ต้องกระทบกัน จริง ลิ้นกับฟันต้องกระทบกัน บางทีฟันก็กัดลิ้น แต่ใครเป็นลิ้นใครเป็นฟัน ฟันที่กัดลิ้น ลิ้นมันเจ็บ ลิ้นกระทบฟัน ฟันไม่รู้เรื่อง เฉย อ้า ลิ้นก็อาจถือว่าที่กรอของทันตแพทย์นั้นทําให้เจ็บ เปรียบเทียบอย่างนี้มันตลกมาก ที่เปรียบเหมือนลิ้นกับฟัน แต่ว่าเป็นคําเปรียบโบราณก็พูดกันมาก เปรียบขณะนี้ถ้าเราอยากตลก เราก็ตลกให้เต็มที่ซิลิ้นกับฟันกระทบกัน

          ขอให้ไปคิด ฟันมันกระทบลิ้น มันกัดลิ้น แล้วลิ้นเจ็บ เอ้ายอม ลิ้นก็คือประชาชน ฟันคือนาย เขาว่าต้องปลดแอก ก็ต้องถอนฟันแล้วอย่างไร ถ้าถอนฟันออกหมด..... เมื่อเดือนที่แล้วไปเยี่ยมนครพนม ไปแถวมุกดาหาร ไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งมีฟันเหลือซี่เดียว เขาก็บ่นว่ากินข้าวมันไม่อร่อย ไม่มีฟันนี่กินข้าวไม่อร่อย ก็เลยบอกเขาว่าถ้าให้ที่โรงพยาบาลใส่ฟันจะเอาไหม เขาถามว่าเจ็บไหม ก็บอกว่าย่อมต้องเจ็บบ้างแต่ว่าทําได้เขาก็เอา เขาจะทํา แต่อย่างนี้ก็ต้องคอยหน่อย ต้องไปตรวจต้องไปปฏิบัติการ เขาก็ยินดีเพราะว่าจะได้กินข้าวอร่อย ทีนี้ก็ฟันที่ใส่นั้นมันก็ฟันปลอมลิ้นกับฟันกระทบกัน ถ้าลิ้นของเราฟันของเรากระทบกันเองก็ยังไม่เป็นไร แต่ทําไมถ้าสมมุติว่าเอาฟันปลอมมาใส่ เขาจะเลือกฟันปลอมจากที่ไหน ยี่ห้อใด จากประเทศใดมาใส่ให้มากระทบลิ้นเรา อันนี้ต้องระวังดีๆ ฟันน่ะฟันปลอมมันใส่ได้มีประโยชน์ทําให้กินข้าวอร่อย แต่ข้าวนั้นน่ะเป็นข้าวไทยไปตอกตราฮานอยก็มีเหมือนกัน จะเอาหรือ ฟันปลอมที่มาจากที่อื่น จริง.....เดี๋ยวนี้มีเมดอินไทยแลนด์มีได้แยะ ฟันปลอมทําได้ดีแต่ว่าการที่จะถือความคิดเก่าว่าลิ้นกับฟันต้องกระทบกัน ก็จริง แต่ว่าระวังอย่าให้ฟันปลอมมาเคี้ยวลิ้นให้หมด อันนี้คิดไปคิดมามันกลุ้ม ก็ยังดีที่ฟันยังดีอายุแค่นี้ก็นับว่าดีหมอฟันเขาบอกว่าอายุแค่นี้ก็นับว่าไม่เลว ยังดีตรวจคราวที่แล้วมันก็หลุดออกมานิดหน่อย ก็ไม่เป็นไรอุดได้ยังไม่ใช่ฟันปลอมนัก แต่ว่าคําที่เขาผู้ประกาศลงหนังสือพิมพ์ทางวิทยุ เรื่องลิ้นกับฟันนี้ถึงทําให้กลุ้มใจ

          แล้วก็ขอให้ท่านทั้งหลายไปคิดดู ที่พูดนี้ไม่ใช่จะไปกระทบกระเทือนท่านทั้งหลายผู้ใช้ฟันปลอม เชื่อว่าท่านใช้ฟันปลอมอย่างถูกต้อง มิได้ใช้ในทางที่ผิด ที่ว่าการเปรียบเทียบลิ้นกับฟันกับฟันนี่มันตลก มันสนุกเพราะว่าถ้ามาคิดดูอย่างลึกซึ้งแล้วมันก็ประหลาดหลายอย่าง อย่างที่ว่าตะกี้ว่าลิ้นถูกกัด เพราะเรื่องของฟันปลอมจะเอามาจากไหน มันเลยทําให้คิดมาก และก็ถ้าคิดมากแล้วก็เกิดเสียวไส้ เกิดคิดไปมาก เลยทําให้อาจเกิดความไม่สบายใจ อาจเป็นความกลัวหรือความไม่สบายใจในจิตใจของเราหรือของแต่ละท่านที่มาอยู่ที่นี้ถ้าเอาไปคิด เดี๋ยวไม่ได้ปวดฟัน แต่จะปวดหัว ปวดหัวว่า เอ้อ วันนี้มาฟังพูดเรื่องลิ้นเรื่องฟันแล้วเป็นอย่างไรทําให้ปวดหัว เลยมาขอให้ยาแก้ปวดนิดหน่อยว่า ถ้าเราคิดดีทําดีไม่ใช่แต่ปากนะทําอย่างดีจริง ๆ คือสร้างสมสิ่งที่ดีด้วยการปฏิบัติในสิ่งที่เรียกว่าดีหมายความว่าไม่เบียดเบียนผู้อื่น สร้างสรรค์ทําให้มีความเจริญ ทั้งวัตถุทั้งจิตใจแล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวเพราะผู้ที่ทําในสิ่งที่บริสุทธิ์ แม้ถึงจะตายก็ตายดี ที่เขาเรียกว่าผู้นั้นไปดี ก็หมายความว่าเขาไปดีเขาไม่ต้องเป็นห่วงอะไรเลย เขาทําแต่ความดีเราทุกคนไม่อยากตาย แต่ว่าขอให้ทําในสิ่งที่มันถูกต้อง สิ่งที่มันดีเพื่อที่จะได้นําไปสู่ความตายที่สบาย

          ถ้าต้องถึงตอนตายแล้ว ก็มานึกถึงว่า ชีวิตคนเราก็สั้น ทําไมเราจะริเริ่มที่จะทําดีตอนนี้จะได้ประโยชน์อะไรได้ เพราะว่าถ้าเรานึกว่าเดี๋ยวนี้มาถือว่าประเทศชาติของเรามีความปั่นป่วน แน่นอน มีอันตรายคุกคามแน่นอนจากทุกทิศทั้งภายนอกภายใน กําลังรู้สึกกันนะ ทุกคนรู้สึกว่าเมืองไทยนี้ชักจะอันตราย จนกระทั่งมีบางคนเล่าลือกันว่าเก็บกระเป๋าขายของไปต่างประเทศเสียแล้วก็มี แต่ว่าท่านพวกนั้นที่เก็บของขายของหนีออกจากประเทศ ไปเสียทีเพราะว่าเมืองไทยมันเต็มทนแล้ว กลับไปเจอเขา ริบของในประเทศโน้นที่ไปอาศัยเขาพังเคไปหมด หารู้ไม่ว่าเมืองไทยนี้น่าอยู่นะ มีชาวต่างประเทศที่อยู่ต่างประเทศในเมืองเสียอีก เป็นอารยประเทศ เป็นประเทศที่ศิวิไลซ์ประเทศที่ก้าวหน้าแล้ว เขาอยู่ไม่ได้เขาขอมาอยู่เมืองไทย ขอมาตั้งรกรากที่เมืองไทยนี่ ฉะนั้นประเทศไทยนี่ทําไมอยู่ได้ก็เพราะพวกเราทุกคน ถ้าเราสร้างความดีคือทําปฏิบัติในสิ่งที่บริสุทธิ์ใจ ที่สุจริต ที่ตั้งใจดีมันอาจมีผิดพลาดบ้าง แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจผิดพลาด ตั้งใจทําดีก็เป็นการสร้างกําลังของบ้านเมือง ทําให้เป็นเหมือนฉีดยาป้องกันโรค ซึ่งถ้าเราฉีดยาป้องกันโรควันนี้ พรุ่งนี้ไม่ใช่ไม่ได้ผล หมอก็ทราบดีถ้าเราฉีดยาต้องได้ครบโดส ถึงจะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้และต้องการให้ครบโดส เราต้องทําในสิ่งที่ดีที่ชอบตลอดไปเป็นเวลานานอาจน่าเบื่อ แต่แม้กระนั้นอย่าเพิ่งท้อใจ แม้กระนั้น บางทีเราทําตลอดชีวิตแล้ว ก็ยังไม่พอแต่ทําไมเมืองไทยอยู่ได้ ก็เพราะว่าบรรพบุรุษของเราทํามาเป็นแรมปีเป็นร้อย ๆ ปี ทํามาหรือความสุจริตใจ ในสิ่งที่เรารู้ในประวัติศาสตร์ว่านักรบไทยได้ป้องกันประเทศให้อยู่ นักปกครองไทยได้ป้องกันความเป็นอยู่ของเมืองไทยให้อยู่ได้ตกทอดมาถึงเรานั้นน่ะ ท่านได้ทํามาด้วยความตั้งใจให้เป็นมรดก แต่ก็เป็นในคําที่ถูกต้อง คือเป็นบารมีได้สร้างบารมีมาตั้งแต่โบราณกาลมาสะสมมาเรื่อย ทําในสิ่งที่ถูกต้อง เมืองไทยถึงอยู่ แต่ว่าถ้าเราไม่ทําต่อ เราขอเปรียบเทียบ

          เมื่อตะกี้ก็ได้พูดแล้ว เปรียบเทียบแล้ว ขอเปรียบเทียบเหมือนบารมีนั่นคือทําความดีนี้ เปรียบเทียบเหมือนการธนาคาร ต้องมีนักธนาคาร ในที่นี้ถ้าเราสะสมเงินเอาไว้แล้วก็สะสมให้มากขึ้น เราก็สามารถที่จะใช้ดอกเบี้ย ใช้เงินที่ได้จากผลของดอกเบี้ย ไม่ต้องแตะใช้ทุน แต่ถ้าเราใช้มากเกินไปหรือเราทอดทิ้งเรากินเข้าไปในทุน ทุนมันก็น้อยลง ๆ จนหมด ลงท้ายเขาก็ใช้คําว่า..... อย่างไร..... ที่ไปเบิกเกินบัญชีเกินที่มีอยู่ ถ้าเกินที่มีอยู่ทางธนาคารเขาเห็นแก่หน้าเรา เขาก็ปล่อยให้เราเบิก เราเบิกเงินมาก ๆ นาน ๆ ทีนาน ๆ ไปนายธนาคารเขาทนไม่ไหวเขาก็ต้องเอาเรื่องฟ้องเรา เราอย่าไปเบิกบารมีที่บ้านเมืองที่ประเทศได้สร้างสมเอาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษของเราให้เกิน เราต้องทําบ้าง หรือเพิ่มพูนให้ประเทศชาติที่มีอนาคตที่แน่นอน อนาคตที่จะสามารถถือว่าชั่วลูกชั่วหลานชั่วเหลนชั่วโหลนประเทศไทยก็ยังคงอยู่ เขาอาจไม่เห็นแต่ก็เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เราจะสบายใจ ถ้าสามารถที่จะคิดภาพออกในเรื่องการสร้างบารมีของบรรพบุรุษของเรา แต่โบราณกาลที่ได้รักษาสร้างบ้านเมืองขึ้นมาจนถึงเราแล้ว ก็ในสมัยนี้ที่เราอยู่ในที่ที่เรากําลังเสียขวัญกลัวก็ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว เพราะว่าเรามีทุนอยู่แต่ทุนนั้นน่ะหายหมดไปเร็ว ถ้าเราไม่รักษาไว้ นักเศรษฐกิจ นักการค้า นักธนาคารทั้งหลายก็ยอมทราบดีว่าบางคนมีเงินเป็นร้อย ๆ ล้านแล้วก็มาทํากิจการอย่างไม่ถูกต้องหมดตัวภายในไม่กี่ปีเมือง ไทยสร้างสมบารมีมาเป็นร้อย ๆ ปีถ้าไม่ระวังดีๆ ภายในสองสามปีก็หมดตัวได้เหมือนกัน แต่หมดตัวอย่างนี้แล้วนะหมายความว่าไม่มีที่อยู่ แล้วก็ไม่สามารถที่จะมีอยู่ต่อไปแน่ แล้วก็เกิดความวิตกก็ได้ก็ผิดหลัก เพราะว่าคนเราถ้าอยากอยู่สบายต้องไม่วิตก ต้องไม่กังวล กลัวนี้ไม่สบาย ต้องการมีความสุขความสบายเราจึงต้องปฏิบัติในสิ่งที่จะทําให้มีความสุขความสบาย คือสะสมความดีสะสมบารมี

          เปรียบเทียบมาหลายอย่างแล้ว เชื่อว่าท่านทั้งหลายควรจะเข้าใจในจิตใจของท่านจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่จะเป็นนายธนาคาร หรือจะเป็นอาจารย์ จะเป็นตํารวจทหารหรือพลเรือน จะเป็นอุตสาหกรหรือกรรมกรหรือจะเป็นคณะบุคคล จะเป็นนักสังคมสงเคราะห์หรือเป็นกสิกร ทุกคนต้องทํา ทําให้ถูกต้อง ถ้าทําถูกต้องแล้วและความเข้าใจตามที่พูด ตามความคิดที่ตนมี.....ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ฟังและไปพิจารณานี่นะ จะต้องฟังแล้วก็ไปบังคับใจว่า เพราะได้รับคําสั่งมาอย่างนี้หรือได้รับคําพูดมาอย่างนี้ต้องทําตามนี้เอาไปย่อยเอาไปคิดตามความคิดที่ตนมีบางคนในที่นี้ก็เป็นชาวพุทธ บางคนก็เป็นชาวมุสลิม บางคนก็เป็นชาวคริสต์ บางคนก็เป็นชาวฮินดูนับถือศาสนาต่าง ๆ กัน ไปดูในตําราศาสนา ในคัมภีร์ศาสนาของแต่ละท่าน คนใดที่ไม่มีศาสนาก็ไปคิดได้ตามตําราการเมือง ตามตํารารัฐศาสตร์ตามตําราจิตวิทยา หรือตามตําราใด ๆ ที่ได้นับถือ แล้วก็จะได้คําตอบ จะเข้าใจว่าต้องทําอะไรอย่างไร เรามีบ้านเมืองแล้ว เราต้องรักษาไม่ใช่ทําลาย ใครอยากทําลายบ้านเมืองก็ทําลายเข้า เชิญทําลาย เราสู้แต่ว่าผู้ที่จะทําลายระวังดีๆ คือว่าผู้ที่อยากจะทําลาย นั่นไม่ใช่ว่าเขาอย่าทําลายเพื่ออะไร แต่เขาทําลาย น่าสงสาร ส่วนมากเขาทําลายตัวเอง เท่าที่ไปดูประวัติไปดูเรื่องราวที่ผ่านมา รู้ลึกซึ้งว่าทําลายตัวเองเท่านั้นเอง น่าสงสาร ฉะนั้น ก็ให้ไปคิดดีๆ

          ในคําพูดที่พูดไป ไม่ใช่ว่าจะอ้างตัวว่าอยากจะสั่งสอนอยากให้ท่านแต่ละคนสั่งสอนตัวเอง อยากให้แต่ละคนคิดของตัวเอง อันนี้เมื่อคิดของตัวเองแล้วเรียบร้อยแล้ว มาปีหน้า วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๑๙ เชิญมาอีก และมา..... กลายเป็นทวง.....มาให้ของขวัญวันเกิด ๒๕๑๙ ในสิ่งที่ท่านไปคิดมาและปฏิบัติมา ปีหน้านี่นะเห็นการณ์ไกลไหม เป็นเรื่องของการสร้างแล้วก็ขอรับเป็นของขวัญปีหน้า ปีนี้รับของขวัญที่ท่านมีจิตใจสามัคคีและที่ได้ทํางานบางเวลาก็ปวดหัวเต็มทน ก็ทําจนบ้านเมืองอยู่ได้ทุกวันนี้ด้วยความสามัคคีด้วยความปรองดอง ขอรับ และขอขอบใจ

          บัดนี้ ก็ได้พูดมากพอสมควรแล้วก็ถ้าพูดมากเกินไป ผู้ที่ยืนอยู่ที่นี่ก็คงจะไม่สามารถยืนต่อไป จะต้องตั้งโรงพยาบาลแล้วก็ไม่เป็นมงคลนัก ไม่อยากพูดทําให้สมควรแก่เวลา แต่ก็ขอสรุปว่า ขอขอบใจท่านทั้งหลายที่มาแสดงน้ําใจและให้กําลังใจอย่างดียิ่งขอให้ทุกท่านประสบความสําเร็จความเจริญรุ่งเรืองในสิ่งที่ดีที่ชอบ ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลสัมฤทธิ์ขอให้มีกําลังกายกําลังใจสมบูรณ์ทุกคน ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง

**ไฟล์ PDF ที่แจกถูกพิมพ์คัดลอกมาจากเอกสารจริงโดยอาสาสมัคร หากผิดพลาดประการใดเพจ "สานต่อที่พ่อทำ" ขออภัยมา ณ ที่นี้

เรียบเรียงโดย : เรื่องเด็ดเจ็ดย่านน้ำ
ที่มา : FB @สานต่อที่พ่อทำ
อ้างอิง : ลิ๊งค์ไฟล์ PDF

กดถูกใจเพจเพื่อติดตามอัพเดททุกเรื่องเด็ด
บอกต่อเรื่องนี้ให้เพื่อนคุณ


About เรื่องเด็ดเจ็ดย่านน้ำ

ขอบคุณทุกเรื่องเด็ด และเรื่องราวดีๆ จากทุกแง่มุมในสังคม เราจะหามาแชร์และส่งต่อให้เพื่อนบนโลกโซเชียลได้รับรู้ รับทราบกันอย่างทั่วถึง คุณเองก็สามารถทำได้ "กดแชร์" เรื่องเด็ดที่คุณชอบเลยสิ!